น้ำมันตับปลา เป็นผู้มาก่อน ยืนระยะมาแสนนานจนถึงวันนี้ ส่วน น้ำมันปลา มาทีหลัง แต่โด่งดังกว่าเยอะ ลองมาดูว่าน้ำมันจากปลาทั้งสองแบบ แตกต่างกันอย่างไรครับ
น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil/Shark Liver Oil)
- สกัดจากตับปลาทะเล
- ถ้าสกัดจากปลาคอด เรียกว่า Cod Liver Oil (CLO)
- ถ้าสกัดจากปลาฉลาม เรียกว่า Shark Liver Oil (SLO)
- มี กลิ่นรสคาวแรงจัด จนต้องนำมาบรรจุในแคปซูลนิ่ม ให้กลืนลงไปเลย แต่ถ้าทำเป็นยาน้ำต้องใช้เทคนิคทางเภสัชกรรมมากมายเพื่อกลบกลิ่นคาว
- น้ำมันตับปลา เป็นแหล่งของ วิตามินA และ D ใช้เสริมสร้างกระดูก ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต หรือให้คนที่ขาดวิตามินสองตัวนี้
- วิตามินA และ D เป็นวิตามินที่สามารถสะสมในร่างกายได้ ดังนั้น ถ้าได้รับมากเกินไปก็จะสะสมจนเป็นพิษต่อร่างกายได้ เช่นปวดหัว และเป็นพิษต่อไต
- การกินน้ำมันตับปลาใน หญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกในครรภ์ผิดปกติได้
น้ำมันปลา (Fish Oil)
- เราเริ่มสนใจน้ำมันปลา เนื่องจากมีคนสังเกตุว่า ชาวเอสกิโม และชาวญี่ปุ่น มีอัตราการตายจากโรคหัวใจขาดเลือดต่ำกว่าคนชาติอื่นๆมาก เพราะ กินปลาทะเลเป็นอาหารหลัก
- เป็นน้ำมันที่ได้จากปลา และสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะน้ำจืด หรือน้ำเค็ม
- กรดไขมันของน้ำมันปลา ได้แก่ EPA และ DHA (คำเต็มเรียกยากๆ คือ Eicosapentaenic acid และ Docosacexaenoic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จัดอยู่ในกลุ่ม ไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 fatty acids)
- ผลต่อสุขภาพที่สำคัญของน้ำมันปลา คือ บำรุงสมอง สายตา ลดความดันเลือด ลดไขมันในเลือด และ ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด
- ปลาที่มีไขมันมาก ก็จะมีโอเมก้า-3 มาก ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า หรือปลาไทย ๆ ของเรา เช่น ปลาทู ก็มีกรดไขมันโอเมก้า-3 อยู่มากด้วยครับ
- ปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า-3 สูงสุด ได้แก่ ปลาสวาย และ ปลาช่อน
- ปลาสวายเนื้อขาว มีโอเมก้า-3 สูงถึง 2,570 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัมปลาช่อน มี 870 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ขณะที่ ปลาแซลมอลมี 1,000-1,700 มก.ต่อน้ำหนัก 100 กรัม
- จะเห็นได้ว่าปลาน้ำจืดราคาถูกอย่าง ปลาสวาย ก็มี โอเมก้า-3 สูงไม่ใช่เล่นนะครับ ปลาช่อนก็ไม่เบา
- น้ำมันปลามีมากที่ หัว พุง และ หนัง (คราวหน้าก็อย่าลอกหนังปลาทิ้งนะครับ เสียดาย)
- น้ำมันปลาหายไปได้โดยความร้อนจึง ไม่ควรใช้ความร้อนสูงมากๆ ในการปรุง
- การนึ่งปลา จะ ถนอมน้ำมันปลาได้ดีที่สุด
- ถ้า ต้ม ต้องให้น้ำเดือดจัดๆ ก่อน ค่อยใส่ปลา และห้ามคน เพราะเนื้อปลาจะแตก น้ำมันปลาออกมา น้ำแกงจะคาว และต้องตามซดน้ำแกงให้หมดหม้อถึงจะได้โอเมก้า-3 ครบ
- ถ้า ปิ้งปลา ก็พยายามอย่าให้น้ำมันปลาไหล หยด ออกมาลงเตาไฟหมด
- การทอดปลา เป็น การปรุงอาหารจากปลาที่แย่ที่สุด เพราะเราจะเสีย โอเมก้า-3 ไปกับน้ำมันที่ทอดจนเกือบหมด
- ปลาดิบ มีโอเมก้า-3 อยู่มากที่สุด แต่ไม่คุ้มที่ต้องเสี่ยงกับโรคพยาธิครับ
- มีงานวิจัยที่ให้ผู้ป่วยโรคหัวใจ กินน้ำมันปลาวันละ 3,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินE 200-400 ยูนิต พบว่า สามารถลดความเสี่ยงจากอาการหัวใจล้มเหลวลงได้ถึง 15% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้กิน
ส่งท้าย
- น้ำมันตับปลา และ น้ำมันปลา มีข้อบ่งใช้แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- การกินผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งสองชนิด ควรศึกษาให้เข้าใจดีก่อน หรือปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ดูครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น