ผักและผลไม้ส่วนใหญ่ ถ้ากินดิบสดจะได้ประโยชน์มากกว่าที่จะนำไปผ่านการปรุงด้วยความร้อน แต่สำหรับข้าวโพด ถือเป็นข้อยกเว้นอย่างแรง เนื่องจากข้าวโพดยิ่งต้มนานก็ยิ่งมีประโยชน์ครับ
ประโยชน์ของข้าวโพดต้ม
- ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมี สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ ตัวที่สำคัญคือ กรดเฟอรูลิก (Ferulic acid)
- ในข้าวโพดดิบ กรดเฟอรูลิก จะเป็นส่วนประกอบอยู่ในผนังเซลล์ เมื่อข้าวโพดถูกต้มนานๆ กรดเฟอรูลิก จะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระ
- กรดเฟอรูลิก เป็น สารพฤกษเคมี (Phytochemicals) ที่พบได้ใน ข้าวสาลี,ข้าวโพด,ข้าวโอ๊ต,เมล็ดกาแฟ,ถั่วลิสง,ส้ม,สัปปะรด และแอปเปิ้ล
- กรดเฟอรูลิก เป็น สารที่สามารถ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเรา จึงช่วย ชลอความแก่ (Anti-aging) และ ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง ได้
- ข้าวโพดต้มมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก (ในแง่ของการให้สารต้านอนุมูลอิสระ) แม้ว่าวิตามินบางตัว เช่น วิตามินC จะหายไปบ้าง ซึ่งข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับวิตามินC อยู่แล้ว
- นักวิจัยของ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) สหรัฐอเมริกา ต้นพบว่า ยิ่งต้มข้าวโพดนาน ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระจะถูกปล่อยออกมามากขึ้น ถ้าต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระจะเพิ่มขึ้น 21% ถ้าต้ม 25 นาที จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 44% และถ้าต้ม 50 นาที จะได้เพิ่มถึง 53% แปลว่า ข้าวโพดยิ่งต้มสุกมากก็ยิ่งมีประโยชน์มาก ในการชลอความแก่ และป้องกันมะเร็ง ครับ
ส่งท้าย
- ข้าวโพดต้มที่ขายกันทั่วไป มีคุณค่ามากกว่าที่เคยคิดไว้
- ผักผลไม้ที่ผ่านความร้อน แล้วมีคุณค่ามากกว่ากินสดๆ ก็เห็นจะมีแต่ ข้าวโพด นี่แหละครับ
- มีประโยชน์ขนาดนี้ "เจอที่ไหน คงไม่พลาดละครับทีนี้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น