คนไทยเราแต่เก่าก่อน เกิด-กิน-แก่ กับอาหารไทยที่มีกะทิมาตลอด จนเมื่อ 30 ปีที่เพิ่งผ่านมา มีคนมาบอกว่า "กะทิ..เป็นผู้ร้าย" คนไทยเลยแหยงกะทิกันครับ
กะทิ
- กะทิ เป็นส่วนผสมที่สำคัญชนิดหนึ่งของอาหารไทย (โดยเฉพาะอาหารภาคกลาง) ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เนื่องจากกะทิทำให้อาหาร มีรสหวาน มัน และมีกลิ่นหอมหวลชวนกิน
- กะทิ จะมีไขมันอิ่มตัวอยู่ราว 98%
ข้อดีของกะทิ
- กะทิ จัดเป็นพวกไขมันโมเลกุลกลางๆ หรือที่เรียกว่า MCT (Medium Chain Triglyceride) ซึ่งเป็นสารอาหารประเภทไขมันที่เคลื่อนตัวง่าย กินทางปากแล้วร่างกายเอาไปใช้ประโยชน์ได้เร็ว ไม่ไปสะสม ในอาหารทางการแพทย์แบบกระป๋องที่เอาไว้ชงป้อนคนป่วยทางสาย ก็ใช้ MCT นี่แหละครับเป็นแหล่งไขมัน
- กะทิมีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย
- กะทิ มีฤทธิ์ฆ่าพวกเชื้อโรคที่มีเปลือกหุ้มเป็นไขมัน โดยจะไม่ไปฆ่าเชื้อฝ่ายดีที่ทำประโยชน์ในร่างกายเรา
ข้อเสียของกะทิ
- การมีไขมันอิ่มตัวสูง (ใกล้เคียงกับไขมันที่ได้จากสัตว์) ถือเป็นข้อเสียของกะทิ เพราะเมื่อกินเข้าไปมากๆ จะทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และอาจทำให้ไขมันเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูงได้
- อาหารคาวที่มีกะทิ มักจะอร่อยมาก เพราะจะเค็มๆ มันๆ กินเข้าไปมากๆ ก็ได้ทั้งไขมัน และโซเดียม ทั้งอ้วน ทั้งความดันโลหิตสูงแน่ครับ อาหารหวานมีกะทิก็เช่นเดียวกันครับ ทั้งหวาน ทั้งมัน
ส่งท้าย
- เอาเป็นว่า "กะทิ" โดยตัวของมันเองแล้ว ก็ไม่ถึงขนาดเป็นผู้ร้ายหรอกครับ แค่เกเรนิดๆหน่อยๆ
- "การกินกะทิเข้าไปมากเกินพอดี" ต่างหาก ที่เป็นผู้ร้าย
- ถ้ากินอยู่อย่างไทยๆ มีข้าวสวยร้อนๆ แกงกะทิ น้ำพริก ผักสด/ผักต้ม กินปริมาณพอดีๆ ก็ไม่ต้องกลัวกะทิหรอกครับ
หมายเหตุ
- ทุกเรื่องราวของ vcanfit ท่านสามารถแขร์ได้เลย ไม่มีหวง จะได้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับผู้คนในวงกว้าง ครับ
- สงสัยเรื่องอาหาร/สุขภาพ อยากได้คำตอบแบบสั้นๆ ง่ายๆ ที่อิงหลักวิชาการ ลองเข้าGoogle พิมพ์ vcanfit เว้นวรรค แล้วพิมพ์ คำที่ต้องการหา (เป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้) จากนั้นกด ENTER ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น