หวานเกินไป...ไม่ดีแน่
เพื่อนผมตนหนึ่ง เธอเป็นตนที่ "อ่อนหวาน" มากๆ คือ กินอะไรก็ยังไม่หวานถูกใจ ต้องเติมน้ำตาลเพิ่มทุกครั้ง เคยลองชิมน้ำก๋วยเตี๋ยวในชามที่เธอปรุงได้ที่แล้ว ถึงกับอึ้งว่า มันต้องหวานขนาดนี้เลยรึ??!!
น้ำตาล
- คือสารจำเป็นที่สุดของชีวิต ตั้งแต่ เกิด แก่ ไปจนกระทั่ง เจ็บ ตาย
- น้ำตาลมีส่วนเกี่ยวข้องในวัฏจักรชีวิตของเราทั้งหมด ที่สำคัญ คือ
เราควรควบคุมน้ำตาลได้ ไม่ใช่ปล่อยให้น้ำตาลมาควบคุมเรา ครับ
- มีหน้าให้พลังงาน
สำหรับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบการหายใจ การย่อยอาหาร และที่สำคัญมากๆเลย คือ น้ำตาลเป็นอาหารของสมอง
- ร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลก่อน
แล้วค่อยหันไปใช้พลังงานจากไขมัน หรือโปรตีน
โทษของน้ำตาลต่อร่างกาย
- น้ำตาลจะก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายก็ต่อเมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากการเสพติดความหวาน การกินที่เกินพอดี
หรือการไม่รู้จักเลือกกิน ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะต่างๆ ดังนี้
1. โรคเบาหวาน (Diabetes)
- เมื่อน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว
ที่เล็กพอจะเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้
- ถ้าเราได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง
ระดับของน้ำตาลในเลือดก็จะสูงขึ้น ฮอร์โมนอินซูลินที่ถูกสร้างโดยตับอ่อน
จะออกมาทำหน้าที่คอยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ
- การที่เรากินน้ำตาลมากๆ ทุกวัน
ตับอ่อนก็ต้องทำงานหนักเพื่อเร่งสร้างอินซูลิน นานๆเข้า ตับอ่อน ก็จะกลายเป็น
ตับอ่อนล้า
คือตับอ่อนเสื่อมจนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอจที่ะไปคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
น้ำตาลในเลือดเลยสูง เกิดโรคเบาหวาน
2. เร่งความเสื่อมของร่างกาย(ทำให้แก่ชรา)
- เมื่อร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นประจำ
จะเกิด ปฏิกิริยาไกลเคชั่น (Glycation) ที่จะไปเร่งกระบวนการเสื่อมของร่างกาย
หรือเรียกง่ายๆว่า ทำให้แก่เร็วขึ้น นั่นเอง
- ไกลเคชั่น
เกิดจากโมเลกุลของน้ำตาลไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ
ของร่างกายเรา ทำให้เกิดสารขึ้นมากลุ่มนึง เรียกว่า AGEs (Advanced
Glycation End-Products) ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
- เจ้า AGEs นี้
ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับเซลล์ร่างกายบริเวณไหนก็จะทำให้เซลล์บริเวณนั้นเสื่อม
มีการทำงานที่แย่ลง
- เมื่อมี AGEs มาก
และนานวันเข้า จะทำให้เกิดการทำลายคอลลาเจนและใยโปรตีนที่ผิวหนังทำให้
เกิดริ้วรอย และจุดด่างดำ
- ทำให้เซลล์สมองเสื่อม เกิดโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's
disease)
- ผนังหลอดเลือดแดงจะแข็ง เปราะบาง
และยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้ เกิดโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular
disease) ได้
แล้วควรทำยังไงดี?
1. ลดของหวานๆ ลง
- ชิมก่อนเติมเครื่องปรุงทุกครั้ง
เพราะบางทีคนทำอาหารเขาทำมาหวานแล้ว
- เลือกกินผลไม้สดแทนขนมหวาน
- ถ้าอยากขนมหวาน ให้เลือกที่เป็นขนมหวานธัญญพืช
เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ลูกเดือย ข้าวโพด แต่อย่าบ่อย
2. บ้วนปากทุกครั้งหลังกินของหวาน
- รสชาติความหวานที่ยังติดลิ้นอยู่ จะทำให้อยากกินของหวานอย่างอื่นต่อไปอีก
3. ให้เวลากับร่างกายเรา ในการปรับสภาพการรับรู้รส
- อาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์
- ช่วงแรกๆ ถ้าไม่เติมน้ำตาลเพิ่ม จะรู้สึกว่าอาหารขาดรสหวาน และไม่อร่อยเอามากๆ
แต่พอเวลาผ่านไปร่างกายเราจะสามารถปรับตัวจนชินกับรสชาติอาหารที่ไม่หวานได้เองครับ
ส่งท้าย
- น้ำตาล มีทั้งคุณและโทษ ต่อร่างกายเรา
กินเข้าไปเยอะๆ ร่างกายก็เสื่อม แก่เร็ว โรคภัยถามหา
แต่ถ้าไม่กินเลยก็จะไม่ทันได้แก่ คงตายก่อน เพราะร่างกายเราใช้น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานเหมือนน้ำมันรถยนต์
แต่เราผู้เป็นเจ้าของรถก็มีหน้าที่เลือกเติมน้ำมันดีๆ ให้รถ คือ
เลือกกินน้ำตาลในปริมาณที่พอเหมาะจากอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพ เช่น
ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท หรือธัญญพืช ที่มีใยอาหารเยอะๆ เป็นต้น ครับ
- ถ้าไม่อยากแก่เร็ว
ก็เริ่มลดน้ำตาลเสียตั้งแต่วันนี้เลยครับ
หมายเหตุ
- ทุกเรื่องราวของ vcanfit ท่านสามารถแขร์ได้เลย
ไม่มีหวง จะได้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับผู้คนในวงกว้าง ครับ
- สงสัยเรื่องอาหาร/สุขภาพ อยากได้คำตอบแบบสั้นๆ
ง่ายๆ ที่อิงหลักวิชาการ ลองเข้า Google พิมพ์ vcanfit เว้นวรรค แล้วพิมพ์ คำที่ต้องการหา
(เป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้) จากนั้นกด ENTER ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น